ท้องผูก
แมวที่ถูกเลี้ยงดูโดยขาดการออกกำลังกาย ให้น้ำกินน้อย กินอาหารโปรตีนสูงมาก
และให้กินเศษกระดูกร่วมด้วย อาจจะทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ เนื่องจากขาดน้ำที่ช่วยให้อ่อนนุ่ม
ซ้ำยังมีแคลเซียมและสารแข็งๆหลายตัวจากเศษกระดูกที่กินเข้าไป
จนก่อตัวกลายเป็นก้อนอุจจาระขนาดใหญ่ที่แห้งและแข็ง เคลื่อนตัวออกจากลำไส้ลำบาก
หากแมวนั้นขาดการออกกำลังกาย จะทำให้กล้ามเนื้อที่ช่วยในการเบ่งไม่แข็งแรงพอ
ทำให้เบ่งอุจจาระไม่ออก ดังนั้น หากท่านเจ้าของเห็นแมวของท่านเบ่งอุจจาระอย่างลำบาก
หรือบางรายอาจมีลำไส้ทะลักออกมาด้วยจนดูคล้ายริดสีดวงของตน ถือว่าอยู่ในขั้นอันตราย
ให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันทีเพื่อรักษาก่อนอาการจะรุนแรงไปกว่านี้
การรักษาอาจจะต้องใช้สารหล่อลื่นทั้งกินและสวน หรือถ้าไม่ออก
ก็อาจต้องเอาเครื่องมือสวนรูทวารไปคีบหรือบีบอุจจาระให้เป็นก้อนเล็กๆ
จึงจะสามารถหลุดลอดออกมาได้ หากจำเป็นมาก อาจจะต้องมีการผ่าตัดลำไส้เพื่อเอาก้อนอุจจาระออกมา
โรคทางเดินปัสสาวะ
หากท่านพบว่าแมวของท่านมีอาการร้องครวญครางตอนปัสสาวะ ปัสสาวะกระปริบกระปรอย
บางครั้งถึงกับอั้นปัสสาวะ หรืออาจจะปัสสาวะออกมาแต่มีเลือดปน
อาการดังที่กล่าวมานี้ เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าแมวตัวนั้นมีความผิดปกติในระบบปัสสาวะ
ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
หากแมวที่ป่วยเป็นแมวตัวผู้ : ปัญหาที่จะพบเป็นประจำ เช่น ปัสสาวะบ่อย
เจ็บปวดขณะปัสสาวะ หรือปัสสาวะเป็นเลือด มีสาเหตุหลักคือการติดเชื้อและอักเสบในกระเพาะปัสสาวะ
แมวมักแสดงอาการอื่นร่วมด้วย เช่นการเลียอวัยวะเพศบ่อย ปัสสาวะเรี่ยราดไม่เป็นที่เป็นทาง
อาจถึงขั้นมีไข้และอาเจียนร่วมด้วย
กระเพาะปัสสาวะอักเสบมักเกิดร่วมกับการอุดตันในทางเดินปัสสาวะตรงส่วนอวัยวะเพศด้วยก้อนนิ่วซึ่งเป็นผลึกแร่ธาตุที่ตกตะกอนอุดขวางอยู่
หากการอุดตันนั้นเกิดขึ้นเป็นเวลานานจนแมวปัสสาวะไม่ออก ปัสสาวะอาจไหลซึมเข้าสู่กระแสเลือดจนเป็นอันตรายได้
แมวจะมีอาการอาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย หมดแรงและขาดน้ำ จนเกิดสภาพไตวายและเสียชีวิตในที่สุด
การกระทบกระเทือนเช่นโดนตีหรือโดนรถชนสามารถทำให้กระเพาะปัสสาวะช้ำ
อักเสบ หรือแตกได้ ซึ่งอาจพบว่ามีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ จึงควรไปพาแมวไปพบสัตวแพทย์เสียแต่เนิ่นๆ
และหากมีโรคไตหรือต่อมไทรอยด์ แมวอาจแสดงอาการปัสสาวะพร่ำเพรื่อ
กินน้ำบ่อยและปริมาณมาก
หากแมวที่ป่วยเป็นแมวตัวเมีย : แมวเพศเมียมีท่อทางเดินปัสสาวะสั้นและตรงกว่าแมวตัวผู้
ก้อนนิ่วที่อาจจะเกิดขึ้นจึงสามารถขับออกไปได้ง่ายกว่า แต่ข้อเสียก็คือ
อาจมีการติดเชื้อได้ง่ายกว่า
มีหลายครั้งที่แมวเพสเมียอาจแสดงอาการปัสสาวะบ่อย หรือปัสสาวะผิดที่ผิดทาง
โดยไม่ได้มีสาเหตุมาจากอาการเจ็บป่วย แต่อาจเป็นไปได้ว่าแมวตัวนั้นอยู่ในระยะการเป็นสัด
จึงเกิดความปรวนแปรของอารมณ์และพฤติกรรมอันเนื่องมาจากฮอร์โมนเพศ
แต่หากเกิดติดต่อกันนานหลายวันมาก อาจจะเป็นไปได้ว่า เกิดจากการระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ของแมวนั่นเอง
เจ้าของแมวที่พบว่าแมวมีอาการปัสสาวะไม่ออกเลย จึงควรพาแมวของท่านไปพบสัตวแพทย์จะดีกว่า
เพราะแมวที่ไม่ปัสสาวะเลยอาจเสียชีวิตได้ภายใน 24 ชั่วโมง
วิธีป้องกันโรคของทางเดินปัสสาวะอักเสบสามารถทำได้โดยการให้แมวของท่านกินอาหารที่มีแมกนีเซียมและแร่ธาตุต่ำ
ตลอดจนให้ยาหรือสารที่ทำให้ปัสสาวะเป็นกรดอ่อนๆ เช่น DL - Methionine
กินครั้งละ 250 มิลลิกรัม วันละ 3 เวลา หรือวิตามินซี กินครั้งละ
100 มิลลิกรัม วันละ 3 เวลา รวมทั้งควรจัดหาน้ำสะอาดไว้ให้แมวได้กินตลอดเวลา
ก็สามารถป้องกันโรคดังกล่าวได้ แต่ท่านก็ไม่ควรวางใจ ควรจะหมั่นสังเกตแมวของท่านให้ดี
เพื่อที่ยามเจ็บป่วยจะได้ช่วยเหลือได้ทันท่วงที
การแพ้ยาพาราเซตามอล
ยาพาราเซตามอลเป็นยาแก้ปวดลดไข้ที่สามารถใช้ได้ดีกับทั้งคนและสุนัข
แต่ปรากฏว่าจะทำให้เกิดอาการแพ้อย่างมากในแมว จนอาจจะทำให้ถึงตายได้
อาการที่แสดงออกให้เห็นอย่างเด่นชัดคือ หน้าบวม มีอาการกระสับกระส่าย
อาจมีน้ำลายไหลยืดร่วมด้วย หากกินติดต่อกันจะพบว่าปัสสาวะจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม
ท่านควรจะรีบพาแมวของท่านไปพบสัตวแพทย์ทันที่ตั้งแต่เริ่มมีอาการ
เพราะหากมัวแต่ชักช้าอาจจะทำให้แมวของท่านเสียชีวิตได้
โรคลมชัก
แมวอาจจะมีอาการทางประสาทขึ้นมาโดยไม่มีอาการล่วงหน้ามาก่อน
นั่นก็คืออาการชัก แต่โอกาสที่จะเกิดในแมวนั้นมีน้อยกว่าสุนัขมาก
แต่กระนั้นท่านก็ไม่ควรจะประมาทและควรจะเรียนรู้เกี่ยวกับโรคนี้ไว้
อาการลมชักในแมวที่พอจะสังเกตได้คือ อาการแหงนหน้าเหลือตาดูที่สูง
มีอาการโยกของขาทั้งสี่ บางครั้งอาจมีอาการกระตุกขึ้นมาได้อย่างไม่มีวี่แวว
จนกระทั่งลงไปนอนดิ้นกับพื้น ซึ่งกินเวลาไม่กี่นาที อาการอื่นๆก็คือ
การขยับขากรรไกรไปมาเหมือนเคี้ยวอะไรบางอย่าง มีน้ำลายไหลเยิ้ม
ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ มักมีอุจจาระหรือปัสสาวะเรี่ยราดไปทั่วบริเวณ
ขณะกำลังชักนี้ แมวจะเหมือนไร้สตไปชั่วขณะ ไม่สามารถจดจำสิ่งใดได้แม้แต่เจ้าของ
จนถึงระยะใกล้ฟื้น คือหลังจากผ่านไปประมาณ 30 - 40 นาที เมื่อหยุดชักแล้วแมวมักมีอาการอ่อนเพลีย
หมดเรี่ยวแรงที่จะยืนหรือเดิน บางตัวอาจมีอาการตาบอดชั่วคราว
อาการเหล่านี้จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
แมวบางตัวเมื่อฟื้นจากการชักแล้วอาจไม่มีอาการข้างเคียงเลย
สาเหตุของการชักนั้นเชื่อกันว่าน่าจะเกิดจากความผิดปกติของเซลล์ไฟฟ้าในสมอง
ซึ่งหากสะดุดลงก็จะเป็นเหตุให้แมวแสดงอาการทางประสาทออกมา ซึ่งอาการชักก็เป็นอาการหนึ่ง
ดังนั้น การรักษาอาการชัก ทำได้โดยแพทย์จะฉีดยาสงบประสาทเข้าไปในหลอดโลหิตดำ
เพื่อให้ยาออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว บางรายอาจถึงกับต้องให้ยาสลบ
หลังจากสงบแล้วก็ต้องเตรียมป้องกันด้วยการให้ยากันชัก ยาบำรุงประสาทมากิน
โดยสัตวแพทย์จะเป็นผู้กำหนอปริมาณยา และระยะเวลาในการให้ตามความเหมาะสม
หากเจ้าของไม่สามารถพาแมวของท่านไปหาสัตวแพทย์ได้ทันท่วงที ก็ต้องระวังไม่ให้ศีรษะของแมวกระทบกับของแข็ง
อาจใช้เบาะหรือหมอนรองเอาไว้ และพยายามหาทางไม่ให้แมวกัดลิ้น
ย้ายแมวไปอยู่ในที่สงบ ปราศจากการรบกวน อากาศโปร่งเย็นสบาย ไม่ควรป้อนสิ่งใดให้กินขณะชักหรือหลังชัก
เพราะแมวอาจสำลัก หรือกัดมือผู้ป้อนได้
โรคลมชักนี้จะไม่มีการหายขาด แต่หากได้รับยาควบคุมก็สามารถควบคุมอาการได้
ส่วนใหญ่สัตวแพทย์จะเป็นผู้จ่ายยาและนัดวันตรวจสำหรับแมวที่มีอาการอยู่แล้ว
แต่หากแมวของท่านมีอาการผิดไปจากเดิมดังที่กล่าวนี้ ให้รีบนำกลับมาพบสัตวแพทย์โดยด่วน
- ปฏิกิริยาต่อสมาชิกในบ้านแปลกไป เช่นหลีกหนี ไม่ยอมให้จับตัว
ตกใจง่าย เป็นต้น
- ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ อุจจาระและปัสสาวะราด หรือขับถ่ายบ่อยกว่าปกติ
- กระสับกระส่าย ชอบเดินออกไปโดยไร้จุดหมายในเวลากลางคืน
- นิสัยดุร้ายและก้าวร้าวกว่าเดิม
- ควบคุมขาทั้งสี่ไม่ได้ ขาเปะปะ เดินลากขา หรือกระโดดไม่ขึ้น
- เดินชนผนัง กำแพงหรือเครื่องเรือนต่างๆ
- ม่านตาทั้งสองข้างขยายไม่เท่ากัน
นอกจากนี้ การชักของแมวอาจมีสาเหตุมาจากเนื้องอกในสมองได้ ซึ่งยากต่อการรักษา
หากแมวที่เป็นโรคลมชักได้รับการดูแลจาดเจ้าของเป็นอย่างดี ก็จะเป็นแมวที่มีความสุขและโชคดีมากทีเดียวค่ะ
มะเร็ง
มะเร็งร้าย 5 ชนิดที่มีโอกาสเกิดกับแมวสูงอายุได้แก่
1. ลิมโฟมาและลิมโฟซาโคมา
2. ลูคีเมีย
3. บาสาลเซลล์ ทูเมอร์
4. อดีโน คาร์ซิโนมา
5. สแควร์มัสเซลล์ คาร์ซิโนมา
ดังนั้นท่านเจ้าของแมวจึงควรสังเกตแมวสูงอายุในบ้านท่านเสมอ
หากพบสิ่งผิดปกติดังต่อไปนี้ อาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับมะเร็งก็เป็นได้
1. แมวของท่านซูบผอมและน้ำหนักลดลงอย่างฮวบฮาบ
2. เบื่ออาหาร แม้จะเป็นของที่ชอบกิน
3. นอนซึม ไม่ค่อยรับการกระตุ้นและไม่ตอบสนอง
4. มีก้อนเนื้อปูด บวม หรือขยายใหญ่ตามลำตัวและแขนขา
5. กินหรือเคี้ยวอาหารลำบาก
6. หายใจลำบาก ติดขัด หอบ น้ำมูกไหล ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น
7. มีสารคัดหลั่ง เมือก หรือหนองออกจากช่องปาก ช่องจมูก หรืออวัยวะเพศ
8. เจ็บขาเมื่อสัมผัสโดน หรือเดินเขยกเพราะทิ้งน้ำหนักไม่ได้
9. ปัสสาวะไม่ออก ท้องผูก หรืออุจจาระเหลวมีเลือดปน
หากท่านเจ้าของพบว่าแมวของท่านมีอาการเช่นนี้ ท่านควรพาแมวของท่านไปพบสัตวแพทย์
เพราะแมวของท่านอาจจะเป็นมะเร็งก็ได้
|